ระบบสี Pantone คืออะไร ต่างกับ CMYK อย่างไร?
เรื่องสี เป็นเหมือนปัญหาโลกแตกสำหรับทุกคนที่มาพิมพ์งาน ต้องทำยังไงถึงจะทำให้การพิมพ์งานออกมาแล้วสีสวยเป๊ะถูกใจ สีคงที่เหมือนเดิมตลอด ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียวไม่ว่าจะสั่งพิมพ์มาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
เราขอเริ่มอธิบายให้เข้าใจ โดยเริ่มจากวิธีการพิมพ์ในระบบ Offset แบบที่โรงพิมพ์ของเราใช้ก่อน ในระบบ Offset สามารถแบ่งการพิมพ์สีออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
Process Color
เป็นการทำให้เกิดสี ด้วยการพิมพ์ซ้อนทับกันของแต่ละจุดสี (Dot) โดยให้แต่ละจุดสีมีองศาที่แตกต่างกัน เพื่อผสมให้เกิดเป็นสีสันต่างๆ มากมาย โดยมีการใช้สีหลักที่เรารู้จักกันดี คือ C (Cyan ฟ้า), M (Magenta แดงอมม่วง), Y (Yellow เหลือง) และ K (Key ดำ) เรียกว่า 4 – Color Process
Spot Color หรือ Solid Color
เป็นการทำให้เกิดสีโดยใช้หมึกที่ถูกผสมไว้เรียบร้อยแล้วเป็น 1 สี ในการพิมพ์ สำหรับการพิมพ์สีที่มีความเฉพาะตัว หรือพิมพ์สีที่ CMYK ไม่สามารถทำได้ เช่น สี Pantone, สี Metalic, สี Fluorescent, สี HKS ของเยอรมัน หรือสี Toyo ของญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ Spot Color นี้ ยังสามารถเรียกรวมถึงการตกแต่งผิวหลังการพิมพ์อย่างการเคลือบ UV หรือ Laminate ได้เช่นกัน เนื่องจากมีลักษณะการทำแม่พิมพ์และวิธีการเข้าเครื่องพิมพ์ที่คล้ายคลึงกัน
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น
- Process Color เหมือนกับการเอาแม่สีของสีทาบ้าน มาทาลงไปทีละชั้นบนผนัง ผสมให้เกิดเป็นสีที่ต้องการบนผนัง
- Spot Color เหมือนกับการผสมสีทาบ้านให้ได้สีที่ต้องการ ก่อนจะทาลงไปบนผนัง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เราจะยกตัวอย่างให้ดู ดังนี้
การพิมพ์สีแบบ Process Color จะทำแม่พิมพ์แยกตาม C M Y K ที่เมื่อนำมาพิมพ์ซ้อนกันแล้วเกิดเป็นสีสันต่างๆ
ในขณะที่การพิมพ์แบบ Spot Color นั้น จะต้องไปผสมหมึกแต่ละสีที่ต้องการแยกมา และแต่ละสีจะมีแม่พิมพ์ที่ทำเป็นรูปร่างของสิ่งที่ต้องการพิมพ์เอาไว้เป็นของตัวเอง และใช้วิธีการพิมพ์ที่อาศัยแรงกด เป็นการพิมพ์ 1 ครั้งต่อ 1 สี
จากในคลิปตัวอย่าง มีการใช้สี Pantone 3 สี คือ แดง ฟ้า ดำ ก็จะต้องไปผสมหมึกให้ได้สีแดง ฟ้า ดำ จากนั้นจึงมาทำแม่พิมพ์แยกกันตามสี นำเข้าเครื่องพิมพ์พิมพ์ทีละสี เมื่อพิมพ์ครบทุกสีแล้ว ก็จะเกิดเป็นภาพที่ต้องการนั่นเอง
Spot Color ก็สามารถพิมพ์แบบไล่สีได้นะรู้ไหม ?
เราสามารถพิมพ์ Spot Color แบบไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อน ได้โดยใช้วิธีการพิมพ์แบบ Halftone คือ พิมพ์เป็นจุดสีที่มีขนาดแตกต่างกัน เว้นความถี่ในการพิมพ์แต่ละจุดต่างกัน โดยบริเวณที่เป็นสีเข้ม จะต้องตั้งค่า Opacity เป็น 100% นั่นเอง
หรือถ้าต้องการไล่เฉดสีของสีพิเศษ 2 สีล่ะ ก็สามารถทำได้ โดยแยกเป็น 2 สี 2 แม่พิมพ์ ดังนี้
1. แยกแม่พิมพ์สำหรับพิมพ์สีที่อ่อนกว่าให้ทึบเต็มแผ่น ตั้งค่าสีอ่อนนั้นให้ Opacity = 100%
2. แม่พิมพ์สำหรับพิมพ์สีที่เข้มกว่า โดยสีที่เข้มกว่านี้จะใช้วิธีการพิมพ์แบบ Halftone ตั้งค่าสีเข้มนั้นให้ไล่ Opacity ตั้งแต่ 100% ไปจนถึง 0%
โดยเราจะพิมพ์สีอ่อนให้เต็มพื้นที่ก่อน จากนั้นจึงค่อยพิมพ์สีเข้มทับลงไป ก็จะได้เป็นงานที่มีการไล่สีของสี 2 สีแล้ว
แล้ว Pantone คืออะไร แตกต่างกับการพิมพ์แบบ CMYK อย่างไร ?
Pantone มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Pantone Matching System หรือที่เรียกกันแบบย่อว่าระบบสีแบบ PMS เป็นชุดสีที่ถูกผสมมาเพื่อให้เป็นเหมือนภาษากลางของสี ที่ให้คนทั่วโลกสื่อสารแล้วเข้าใจสีเดียวกันตรงกัน ไม่ผิดเพี้ยน เพราะเราอาจจะเห็นสีเดียวกัน ไม่เหมือนกัน หรือเรียกชื่อไปคนละแบบ
สามารถพิมพ์ได้ในระบบ Offset แบบ Spot Color ทำให้สีที่พิมพ์ออกมาจะมีความ แม่นยำ มีความใกล้เคียงกับสีที่เห็นบนจอมากกว่า และคงที่ คือไม่ว่าจะพิมพ์งานสีเดียวกันนี้อีกกี่ร้อยครั้ง สีก็จะยังออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์งานที่ใช้สี CMYK เพราะอย่างที่เล่าไปด้านบนว่า CMYK เกิดจากการผสมสี ทำให้การ พิมพ์งานสีเดียวกันในแต่ละครั้ง อาจเกิดความคลาดเคลื่อน สีไม่เหมือนกันทุกครั้ง 100% บางคนอาจเคยได้ยินคำว่าพิมพ์ 6 สี, พิมพ์ 8 สี เพิ่มเข้ามา แล้วอะไรคือสีที่เพิ่มเข้ามา ?
6 Color หรือ Hexachrome
คือการพิมพ์สี C M Y K ที่เพิ่มหมึกสีส้ม (O : orange) และสีเขียว (G : green) เข้ามา เพื่อให้สามารถสร้างสีสันในงานพิมพ์ได้หลายเฉดมากขึ้น ให้ความสมจริงในรายละเอียดมากขึ้น บางคนอาจจะเรียกว่าเป็นสี CMYKOG
8 Color เพื่อให้งานมีมิติ มีความเข้ม – อ่อนมากขึ้น จึงมีการเพิ่มหมึกสีเข้าไปอีก 2 สี คือ สีเหลืองเจือจาง (LY) และสีดำเจือจาง (LK)
งานแบบไหนที่ควรเลือกใช้สี CMYK แล้วงานแบบไหนที่จำเป็นต้องใช้สี Pantone จริงๆ
- แนะนำให้ใช้ Pantone เหมาะสำหรับงานที่ให้ความสำคัญเรื่องความเป๊ะของสีมากๆ อย่างการพิมพ์งานที่มีการใช้สัญลักษณ์ของบริษัท หรือองค์กรที่มีสีเฉพาะ เป็นต้น เพราะการพิมพ์งานโดยใช้สี Pantone คือการผสมสีขึ้นมาใหม่ ทำให้มีต้นทุนในการพิมพ์สูง (ซึ่งปกติจะมักใช้กันไม่เกิน 4 สี)
- ใช้ CMYK ดีกว่า
งานที่ต้องการพิมพ์ มีจำนวนไม่มาก เป็นงานเล็กๆ และมีทุนในการพิมพ์ไม่สูง เราแนะนำให้พิมพ์โดยใช้เป็นสี CMYK แทน เนื่องจากประหยัดต้นทุนในการผลิตได้มากกว่า และสามารถเทียบสีจาก Pantone ให้เป็น CMYK ได้
งานที่ต้องพิมพ์รูปภาพที่ใน 1 ภาพ เต็มไปด้วยสีสันมากมาย เพราะยิ่งมีจำนวนสีมาก ก็ยิ่งต้องผสมสี และทำแม่พิมพ์แยกตามสีมากขึ้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในการพิมพ์
ใช้ผสมกันได้ไหม?
ได้ เราสามารถพิมพ์งานที่ใช้สี CMYK แล้วนำมาพิมพ์สีพิเศษแบบ Spot Color ในจุดที่ต้องการสีพิเศษเพิ่มเติมได้เช่นกัน
อยากรู้วิธีการสั่งพิมพ์งานเป็นสี Pantone ได้ยังไง ติดตามต่อได้ที่ “อยากพิมพ์สี Pantone ต้องสเปคสีอย่างไร?”
หรือมีเทคนิคอะไรในการสั่งพิมพ์สีบ้าง ได้ที่ “อยากพิมพ์สี แล้วโรงพิมพ์นับจำนวนสีที่พิมพ์กันอย่างไร?”